ควรปฏิบัติตัวอย่างไรถ้ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี

เมื่อทราบว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีไม่ควรตกใจหรือกังวลใจจนมากเกินไป เพราะโรคตับอักเสบแบบเรื้อรังจากการติดเชื้อไวรัสต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะพัฒนากลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับ นอกจากนี้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากสามารถมีชีวิตยืนยาวได้ปกติเหมือนคนทั่วไปโดยไม่เป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับเลยตลอดชีวิตการปฏิบัติตัวตามแบบ 5+1 อ. ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ของผู้ป่วยที่มีโรคตับอักเสบแบบเรื้อรังให้มีความสมดุลมากขึ้น

1. แอลกอฮอล์ ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด เช่น งดดื่มเหล้า เบียร์ หรือไวน์ เพราะแอลกอฮอล์มีส่วนสำคัญที่ทำให้ตับอักเสบรุนแรงมากขึ้นและทำให้มีโอกาสเป็นตับแข็งและมะเร็งตับเร็วขึ้นกว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เช่นผู้ชายที่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องและยาวนานมีโอกาสเป็นตับแข็งในระยะเวลาเพียง 10 ปีหลังการติดเชื้อไวรัส ในขณะที่ผู้ไม่ดื่มแอลกอฮอล์จะเป็นตับแข็งต้องใช้เวลานานกว่า 20 – 30 ปี

2. อาหารและยา ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีควรดูแลสุขภาพโดยรับประทานอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วนไม่มากหรือน้อยเกินไป นอกจากนี้ไม่ควรรับประทานอาหารที่หวานหรือมันมากเกินไป เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าเมื่อเป็นโรคตับอักเสบต้องรับประทานของหวานหรือดื่มน้ำหวานมากๆ ความจริงแล้วหากรับประทานหวานเกินไปกลับจะเป็นอันตรายต่อตับ เพราะน้ำตาลที่มากเกินจะเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันสะสมที่ตับและทำอันตรายต่อเซลล์ตับได้ ที่เราเรียกว่าโรคไขมันสะสมในตับ ซึ่งเป็นโรคตับอักเสบที่เป็นกันมากอีกโรคหนึ่ง การรับประทานอาหารหวานหรือดื่มน้ำหวานจะมีประโยชน์เฉพาะในกรณีที่มีอาการของโรคตับอักเสบที่รุนแรงและรับประทานอาหารได้น้อยควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาต่างๆ ที่อาจมีอันตรายต่อตับโดยไม่จำเป็นนอกจากนี้การรับประทานยาบำรุงหรืออาหารเสริมไม่ค่อยมีประโยชน์ เพราะไม่มีส่วนช่วยทำให้การอักเสบของตับดีขึ้น

3. ออกกำลังกาย ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีควรมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง และไม่หักโหมจนเกินไป ควรเลือกวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับอายุและสภาพร่างกายของแต่ละคน เช่น เดินเร็วๆ หรือวิ่ง ปั่นจักรยานหรือว่ายน้ำ อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ ในระหว่างที่มีการอักเสบของตับที่รุนแรง

4. อ้วน ถ้าน้ำหนักตัวมากเกินไปจะทำให้มีโอกาสเกิดโรคไขมันสะสมในตับมากขึ้น และทำให้มีโอกาสเป็นตับแข็งและมะเร็งตับมากขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปจะทำให้ประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีลดลงด้วย ทำให้การรักษาได้ผลน้อยกว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวตามปกติดังนั้นถ้าน้ำหนักตัวมากเกินไปควรลดน้ำหนักโดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

5. อารมณ์ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีไม่ควรมีความเครียดมากเกินไปควรผ่อนคลายและทำใจให้สบาย ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับจนเกินเหตุ เพราะการเกิดมะเร็งตับต้องใช้เวลานานหลายปี

6. อื่นๆ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีควรพบแพทย์เป็นระยะๆ ตามที่แพทย์นัดหมายเพื่อตรวจเลือดและตรวจอัลตราซาวนด์ของตับ ทั้งนี้เพื่อเป็นการติดตามการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโรคตับอักเสบ รวมทั้งเพื่อค้นหามะเร็งตับให้พบตั้งแต่ระยะแรกๆควรป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น เช่น งดการบริจาคโลหิต ไม่ใช้ของมีคมหรือเครื่องใช้ที่อาจปนเปื้อนเลือดไปยังผู้อื่น เช่น กรรไกรตัดเล็บ เข็มฉีดยาหรือแปรงสีฟันร่วมกัน ผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีสามารถดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นได้ เพราะเชื้อไวรัสตับอักเสบซีไม่ติดต่อทางอาหารหรือน้ำลาย

ที่มา: หนังสือ ไขรหัสตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็ง


← กลับไปหน้ารายการ