ไวรัสตับอักเสบซีทำให้เกิดตับแข็งและมะเร็งตับ

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีแบบเรื้อรังเป็นเวลานานๆ เซลล์ตับจะค่อยๆ ถูกทำลายอย่างต่อเนื่องอย่างช้าๆ เมื่อเซลล์ตับถูกทำลายจะมีการสร้างเซลล์ตับขึ้นมาใหม่ทดแทนเซลล์ส่วนที่ตายไป เมื่อตรวจเลือดจะพบว่ามีระดับเอนไซม์ของตับหรือค่า ALT สูงกว่าปกติขึ้นๆ ลงๆ เป็นระยะ ซึ่งบางครั้งระดับเอนไซม์ของตับอาจอยู่ในเกณฑ์ปกติ แม้ว่าจะมีการอักเสบของตับแต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยมีอาการหรืออาการแสดงให้เห็นที่ชัดเจน ยกเว้นในผู้ป่วยบางคนที่มีอาการอ่อนเพลียกว่าปกติดังนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยตัวรู้ว่ากำลังเป็นโรคตับอักเสบแบบเรื้อรังผู้ที่ติดเชื้อแบบเรื้อรังหลายๆ ปี เช่น 10 – 20 ปีขึ้นไป จะมีการทำลายเซลล์ตับอย่างต่อเนื่องและมีการซ่อมสร้างเซลล์ตับขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ซึ่งถ้ามีการอักเสบเป็นเวลานาน เซลล์ตับที่สร้างทดแทนขึ้นมาใหม่จะไม่สมบูรณ์เหมือนเซลล์ปกติในกรณีที่มีการทำลายเซลล์ตับมากกว่าการซ่อมสร้างจะทำให้มีพังผืดในตับมากขึ้นเรื่อยๆ พังผืดในตับนี้คล้ายกับการเกิดแผลเป็นที่ผิวหนังเวลาถูกมีดบาดหรือเวลามีการอักเสบ พังผืดในตับที่เกิดขึ้นจำนวนมากหรือแผลเป็นแบบเรื้อรังในตับเหล่านี้จะทำให้สภาพการทำงานของตับลดลงจนทำให้เกิดเป็นตับแข็งในที่สุด

หลังจากเป็นตับแข็งแล้วภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญที่ตามมาคือการเกิดมะเร็งตับ การวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับทำได้โดยการตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จะพบว่ามีก้อนเนื้องอกในตับ ซึ่งอาจมีขนาดเป็นก้อนเนื้อเล็กๆ เพียงก้อนเดียว ถ้าเป็นมะเร็งตับในระยะแรกๆ หรือมีขนาดใหญ่กว่า 10 – 15 เซนติเมตร และมีหลายๆ ก้อนถ้าเป็นในระยะลุกลามแล้ว

ที่มา: หนังสือ ไขรหัสตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็ง


← กลับไปหน้ารายการ